เมนู

อรรถกถาปฐมมิคลุททกเปตวัตถุที่ 7



เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร
ทรงพระปรารภมิคลุททกเปรต จึงตรัสพระคาถานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
นรนาริปุรกฺขโต ยุวา ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกรุงราชคฤห์ ยังมีพรานคนหนึ่ง เที่ยวล่าเนื้อ
เลี้ยงชีพตลอดคืนและวัน. พรานนั้น ได้มีอุบาสกคนหนึ่งเป็นมิตร.
อุบาสกนั้น เมื่อไม่อาจจะให้นายพรานนั้น กลับจากความชั่วตลอดกาล
ได้ จึงชักชวนในการบุญตอนราตรีว่า มาเถอะสหาย ท่านจง
งดเว้นจากปาณาติบาต ในตอนกลางคืน. เขางดเว้นในตอนกลางคืน
กระทำปาณาติบาตในตอนกลางวันเท่านั้น.
สมัยต่อมา เขาทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเวมานิกเปรต ใกล้
กรุงราชคฤห์ เสวยทุกข์อย่างใหญ่ ตลอดส่วนกลางวัน เพียบพร้อม
พรั่งพร้อมบำเรอด้วยกามคุณ 5 ในกลางคืน. ท่านนารทะเห็นดังนั้น
จึงสอบถามด้วยคาถานี้ว่า :-
ท่านเป็นคนหนุ่มแน่น ห้อมล้อมด้วย
เทพบุตรและเทพธิดา รุ่งเรืองอยู่ด้วยกามคุณ
อันให้เกิดความกำหนัดยินดีในราตรี เสวยทุกข์
ในกลางวัน ท่านได้กระทำกรรมอะไรไว้ใน
ชาติก่อน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นรนาริปุรกฺขโต ความว่า อัน
เทพบุตร เทพธิดา ผู้บำรุงบำเรอ พากันแวดล้อมเข้านั่งใกล้.
บทว่า ยุวา แปลว่า ยังหนุ่มแน่น. บทว่า รชนีเยหิ แปลว่า อันเป็น
เหตุให้ใคร่ คือเป็นเหตุเกิดความกำหนัด. บทว่า กามคุเณหิ
ได้แก่ด้วยส่วนแห่งกาม. บทว่า โสภสิ อธิบายว่า ย่อมรุ่งเรือง
ด้วยความพรั่งพร้อมในกลางคืน. ด้วยเหตุนั้น ท่านนารทะจึงกล่าวว่า
เสวยทุกข์ในตอนกลางวัน ดังนี้ อธิบายว่า เสวยเหตุคือ ความ
คับแค้นมีประการต่าง ๆ ในตอนกลางวัน. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า
รชนี ได้แก่ ในตอนกลางคืน. บทว่า เยหิ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า
กิมกาสิ ปุริมาย ชาติยา ความว่า ในชาติก่อนแต่ชาตินี้ ท่านได้
กระทำกรรมอะไรอันเป็นทางให้เสวยสุขและทุกข์อย่างนี้ ขอท่าน
จงบอกกรรมนั้นเถิด.
เปรตได้ฟังดังนั้น เมื่อจะบอกกรรมที่ตนกระทำไว้ จึงได้
กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
เมื่อก่อน กระผมเป็นพรานเนื้อ อยู่ที่กรุง
ราชคฤห์อันน่ารื่นรมย์มีภูเขาล่อมรอบ (เบญจ-
คีรีนคร) เป็นผู้มีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต เป็นคน
หยาบช้า ทารุณ มีใจประทุษร้ายในสัตว์เป็นอัน
มาก ผู้ไม่ได้กระทำความโกรธเคือง ยินดีแต่ใน
การเบียดเบียนสัตว์อื่น เป็นผู้ไม่สำรวมด้วยกาย
วาจา ใจ เป็นนิตย์ อุบาสกคนหนึ่ง ผู้เป็นสหาย

ของกระผม เป็นคนมีใจดี มีศรัทธา ก็อุบาสก
คนนั้น เป็นคนเอ็นดูกระผม ห้ามกระผมอยู่
เนือง ๆ ว่า อย่าทำกรรมชั่วเลย พ่อเอ๋ย อย่าไป
ทุคคติเลย ถ้าท่านปรารถนาความสุขในโลกหน้า
จงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ อันเป็นการไม่สำรวม
เสียเถิด กระผมฟังคำของสหายผู้หวังดี มีความ
อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์นั้นแล้ว ไม่ทำตามคำ
สั่งสอนทั้งสิ้น เพราะกระผมเป็นคนไม่มีปัญญา
ยินดีแต่ในบาปตลอดกาลนาน สหายผู้มีปัญญาดี
นั้น แนะนำกระผมให้ตั้งอยู่ในความสำรวม ด้วย
ความอนุเคราะห์ว่า ถ้าท่านฆ่าสัตว์ในตอนกลาง
วัน ส่วนกลางคืนจงงดเว้นเสีย กระผมจึงฆ่า
สัตว์ แต่เฉพาะกลางวัน กลางคืนเป็นผู้สำรวม
งดเว้น เพราะฉะนั้น กลางคืน กระผมจึงได้รับ
ความสุข กลางวันได้เสวยทุกข์ ถูกสุนัขได้กัด
กิน คือกลางคืนได้เสวยทิพยสมบัติ ด้วยผลแห่ง
กุศลกรรมนั้น ส่วนกลางวันฝูงสุนัขมีจิตเดือด
ดาล พากันห้อมล้อมกัดกินกระผมรอบด้าน ก็
ชนเหล่าใด ผู้มีความเพียรเนือง ๆ บากบั่นใน
ศาสนาของพระสุคตเจ้า กระผมเข้าใจว่าชนเหล่า
นั้น จักได้บรรลุอมตบทอันปัจจัยอะไร ๆ ปรุง

แต่งไม่ได้อย่างแน่นอน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลุทฺโท ได้แก่ ผู้ทารุณ. บทว่า
โลหิตปาณี ได้แก่ ผู้มีฝ่ามืออันเปื้อนเลือด ด้วยการฆ่าสัตว์เนือง ๆ.
บทว่า ทารุโณ แปลว่า กล้าแข็ง อธิบายว่า เบียดเบียนตนเอง.
บทว่า อวิโรธกเรสุ ได้แก่ ในเนื้อและนกเป็นต้น ผู้ไม่กระทำ
ความโกรธด้วยอาการอะไร ๆ
บทว่า อสํยมา แปลว่า ผู้ไม่สำรวม คือ เป็นผู้ทุศีล.
บทว่า สกลานุสาสส ความว่า ซึ่งอนุศาสนีทั้งปวง คือ การงดเว้น
จากปาณาติบาตตลอดกาล บทว่า จิรปาปาภิรโต ได้แก่ ผู้ยินดียิ่ง
ในบาปตลอดกาลนาน.
บทว่า สํยเม คือ ในสุจริต. บทว่า นิเวสยิ แปลว่า ตั้งอยู่แล้ว.
คำว่า ถ้าท่านฆ่าสัตว์ในเวลากลางวัน ส่วนกลางคืน จงงดเว้นเสีย
นี้ เป็นคำแสดงอาการแห่งความตั้งมั่น. ได้ยินว่า นายพรานนั้น
ได้เป็นผู้ประกอบการฆ่าสัตว์เนือง ๆ ในเวลากลางคืน ด้วยการ
ดักบ่วง คือลูกศรเป็นต้น.
บทว่า ทิวา ขชฺชามิ ทุคฺคโต ความว่า บัดนี้ ฉันถึงทุคคติ
เสวยทุกข์อย่างมหันต์ เคี้ยวกินในตอนกลางวัน. ได้ยินว่า ในตอน
กลางวัน เขาได้เสวยผลอันพึงเห็นเสมอด้วยกรรม เพราะเขาให้
สุนัขกัดเนื้อ ในส่วนกลางวัน สุนัขใหญ่ ๆ วิ่งไป ทำสรีระให้เหลือ
เพียงร่างกระดูก แต่เมื่อย่างเข้ากลางคืน ร่างกายนั้นจึงกลับเป็น
ปกติตามเดิม เสวยทิพยสมบัติ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า :-

เพราะฉะนั้น กลางคืนกระผมจึงได้รับ
ความสุข กลางวันได้เสวยทุกข์ ถูกสุนัขลุมกัดกิน
คือกลางคืนได้เสวยทิพยสมบัติ ด้วยผลแห่งกุศล
กรรมนั้น ส่วนกลางวันฝูงสุนัขมีจิตเดือดดาล
พากันห้อมล้อมกัดกินกระผมรอบด้าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิหตา ความว่า เป็นผู้มีจิต
เดือดดาล คือ เป็นเสมือนถูกความคับแค้นผูกพัน . บทว่า สมนฺตา
ขาทิตุํ
ได้แก่ วิ่งไป เพื่อกัดกินร่างกายของเรา โดยรอบด้าน.
ก็ข้อนี้ ท่านกล่าวหมายเอาเวลาที่พวกสุนัขเหล่านั้น เข้าไปใกล้
นำความกลัวมาให้แก่ตนเป็นอย่างยิ่ง ก็สุนัขเหล่านั้นวิ่งไปกระทำ
ร่างกายให้เหลือแต่เพียงกระดูกแล้วจึงไปเสีย.
ในคาถาสุดท้ายว่า เย จ เต สตตานุโยคิโน มีความสังเขป
ดังต่อไปนี้ ขึ้นชื่อว่า เรา ก็เป็นผู้งดเว้นจากเหตุเพียงการฆ่าสัตว์
เฉพาะในกลางคืน ยังได้เสวยทิพยสมบัติถึงเพียงนี้ ก็บุรุษเหล่าใด
ผู้ขวนขวายยั่งยืนมั่นคง คือหมั่นประกอบเนือง คือทุกเวลา ใน
อธิศีลเป็นต้น ในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคสุคตพุทธเจ้า
บุรุษเหล่านั้น เป็นผู้มีบุญ เห็นจะบรรลุอมตธรรม อันได้นามว่า
อสังขตบท อันไม่เจือปน ด้วยโลกิยสุขอย่างเดียวเท่านั้น คือ บุรุษ
เหล่านั้น ย่อมไม่มีการห้ามอะไร ๆ ในการบรรลุอมตบทนั้น.
เมื่อเปรตนั้น กล่าวอย่างนี้แล้ว พระเถระจึงกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระศาสดา. พระศาสดาทรงกระทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัต-

ติเหตุแล้ว ทรงแสดงธรรมแก่บริษัท ผู้ถึงพร้อมแล้ว คำทั้งหมด
มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบ อรรถกถาปฐมมิคลุททกเปตวัตถุที่ 7

8. มิคลุททเปตวัตถุที่ 2



ว่าด้วยกรรมให้พรานเนื้อเสวยทุกข์ในป่าช้า



พระนารทเถระถามเปรตตนหนึ่งว่า
[118] ท่านรื่นรมย์อยู่ในเรือนยอดและปราสาท
บนบัลลังก์อันปูลาดด้วยผ้าขนสัตว์ ด้วยดนตรี
เครื่อง 5 อันบุคคลประโคมแล้ว ภายหลังเมื่อ
สิ้นราตรีพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ท่านเข้าไปเสวยทุกข์
เป็นอันมากอยู่ในป่าช้า ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้
ด้วยกาย วาจา ใจ เพราะวิบากแห่งกรรมอะไร
ท่านจึงได้เสวยทุกข์เช่นนี้.

เปรตนั้นตอบว่า
เมื่อก่อน กระผมเป็นพรานเนื้อ อยู่ที่กรุง
ราชคฤห์อันน่ารื่นรมย์ มีภูเขาล้อมรอบ (ปัญจ-
คีรีนคร) เป็นคนหยาบช้าทารุณ ไม่สำรวมกาย
วาจา ใจ อุบาสกคนหนึ่งผู้เป็นสหายของกระผม
เป็นคนใจดีมีศรัทธา มีภิกษุผู้คุ้นเคยของเขาเป็น
สาวกของพระโคดม ก็อุบาสกนั้นเอ็นดูกระผม
ห้ามกระผมเนือง ๆ ว่า อย่าทำบาปกรรมเลย
พ่อเอ๋ย อย่าไปทุคติเลย ถ้าสหายปรารถนาความ
สุขในโลกหน้า จงงดเว้นการฆ่าสัตว์อันเป็นการ